เชื่อว่านักลงทุนหุ้นมือใหม่หลายคน มักจะลองเริ่มต้นลงทุนด้วยตัวเอง หรือเลือกติดตามทางเพจต่าง ๆ ที่ให้ความรู้ด้านการลงทุนเพื่อเป็นแนวทาง แต่เคยไหม ? หุ้นตัวไหนที่เขาว่าดีพอซื้อตามไป รู้ตัวอีกทีกลับติดอยู่บนดอยซะงั้น ปัญหานี้ส่วนใหญ่มาจากเกิดจากการที่เราเลือกลงทุนผิดจังหวะ ไม่ได้ ดูกราฟหุ้น ทำให้หุ้นที่หลายคนแนะนำว่ามีแนวโน้มที่จะดี ก็อาจจะกลายเป็นหุ้นที่ทำให้เราต้องติดดอยยาวๆ ก็ได้หากเลือกช่วงเวลาเข้าที่ไม่ถูกต้อง
การ ดูกราฟหุ้น เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะช่วยจับจังหวะการลงทุนและลดความเสี่ยงในการขาดทุนจากการซื้อหุ้นได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการอ่านกราฟหุ้นสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในฉบับเข้าใจง่าย นำไปใช้ได้จริงให้ทุกคนแนะนำไปปรับใช้ในการลงทุนกัน จะมีรายละเอียดยังไงบ้าง ตามไปดูกันได้เลย

3 วิธี ดูกราฟหุ้น เบื้องต้น แต่ได้ผลจริง
ในที่นี้ขอแบ่งออกเป็น 3 วิธีเบื้องต้นที่ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มหุ้นจากกราฟ ดังนี้
1. ดูกราฟหุ้น จากเส้น EMA (Exponential Moving Average)
เรียกได้ว่าเป็นเทคนิคดูกราฟสามัญประจำบ้านของใครหลายคนเลยทีเดียวกับการดูการตัดของเส้น EMA (Exponential Moving Average Crossing) เป็นหนึ่งในวิธีการวิเคราะห์กราฟที่ช่วยให้เราเห็นแนวโน้มขาขึ้น – ขาลงของหุ้นจากการตัดขึ้น – ลงของเส้น EMA โดยเส้น EMA คือ เป็นเส้นค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่แบบเอกซ์โพเนนเชียล โดยคิดจากเฉลี่ยราคาปิดหุ้นย้อนหลัง โดยถ่วงน้ำหนักช่วงวันล่าสุดเป็นหลัก เส้นนี้จึงสามารถจับการเปลี่ยนแปลงของราคาได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งการใช้วิธีดูการตัดกันของเส้น EMA อาจจะมีสัญญาณหลอกและทำให้การลงทุนของเราผิดจังหวะได้ เราจึงควรดูตัวชี้วัดอื่นอย่าง กราฟแท่งเทียน (Candle Sticks) หรือรูปแบบราคา (Price Pattern) ประกอบการตัดสินใจด้วย
การวิเคราะห์เส้น EMA เบื้องต้น
เราสามารถใช้สูตรการคำนวณ EMA ได้หลากหลายระยะเวลา เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 15 วัน (ดูแนวโน้มหุ้นระยะสั้น) 75 วัน (ดูแนวโน้มหุ้นระยะกลาง) หรือ 200 วัน (ดูการแนวโน้มหุ้นระยะยาว)
แนวโน้มขาขึ้น
วิธีการดูเบื้องต้นคือเรามักจะนำเส้น EMA 2 ช่วงระยะเวลามาเปรียบเทียบกัน อย่าง EMA 75 และ EMA 200 โดยหากเส้น EMA ระยะสั้น ตัดขึ้นเหนือเส้น EMA ระยะยาวก็นับว่าเป็นสัญญาณหุ้นขาขึ้น เป็นจุดที่หุ้นมีแนวโน้มจะดีดตัวสูงขึ้น เป็นจุดที่น่าจับตาในการเข้าทำกำไร แต่เราขอแนะนำให้รอราคาหุ้นพักตัวก่อนสักนิดเพื่อป้องกันสัญญาณหลอก
แนวโน้มขาลง
คล้ายกันกับการดูแนวโน้มขาขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามหากเส้น EMA ระยะสั้น ตัดลงใต้เส้น EMA ระยะยาวก็นับว่าเป็นสัญญาณจุดเปลี่ยนหุ้นขาขึ้นกลายเป็นขาลง เป็นจุดที่ราคาหุ้นมีแนวโน้มจะลดตัวลงต่อเนื่อง นับว่าเป็นโอกาสดีที่จะช้อนไว้ถ้าเราเล็งเห็นราคาหุ้นจะดีดกลับขึ้นไปได้อีกครั้ง
2. วิเคราะห์จากแนวรับ – แนวต้าน
อาจคงเคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้างกับคำว่าแนวรับ – แนวต้าน แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่อาจจะเป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจสักนิดนึง ซึ่งเราจะมาช่วยอธิบายง่าย ๆ ถึงการใช้แนวรับ – แนวต้านในการ ดูกราฟหุ้น เพื่อหาแนวโน้ม
การวิเคราะห์แนวโน้มจากแนวรับ – แนวต้าน เบื้องต้น
แนวรับ คือ แนวที่หุ้นมีราคาต่ำสุดและมีคนต้องการซื้อเป็นจำนวนมากในช่วงหนึ่ง ทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงและรับราคาหุ้นไว้ที่เท่านี้ ก่อนจะกลับตัวไปมีแรงซื้อที่เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง หากราคาลงมาเส้นแนวรับแล้วหลุดเลยเส้นมีแนวโน้มสูงว่าราคาจะปรับลงแรง
แนวต้าน คือ แนวที่หุ้นมีราคาสูงสุดและมีคนต้องการขายเป็นจำนวนมากในช่วงหนึ่ง ทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงและต้านราคาหุ้นไว้ที่เท่านี้ ก่อนจะกลับตัวไปมีแรงขายที่เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง หากราคาขึ้นไปเส้นแนวต้านแล้วหลุดเส้นแนวต้านมีแนวโน้มสูงว่าราคาจะปรับขึ้นแรง
พูดแบบเข้าใจง่าย ก็คือ ถ้าราคาหุ้นเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้านมาก ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะกลับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามนั่นเอง
วิธีการดูกราฟ จากแนวรับ – แนวต้านควรดูปัจจัยอื่นร่วมด้วย เพราะไม่ได้มีหลักการรองรับ หรือชี้แนวโน้มได้แม่นยำเท่าไร นอกจากนี้ เรื่องของแนวรับ – แนวต้าน นับเป็นเรื่องของจิตวิทยาด้วย เพราะจริง ๆ จะแนวรับ – แนวต้านก็เกิดจากแรงซื้อ – แรงขายของคนหมู่มากนั่นเอง ถ้าหากคนส่วนใหญ่คิดว่าราคา ณ จุดนี้เป็นราคาต่ำสุดแล้วก็พากันซื้อ ทำให้ราคานั้นเกิดเป็นแนวรับหรือคิดว่าราคาหุ้นจะไม่ขึ้นไปสูงกว่านี้ ก็พากันเทขาย เกิดเป็นแนวต้านจริง ๆ

3. วิเคราะห์จากปริมาณการซื้อ – ขาย (Volume)
อีกหนึ่งเทคนิคในการดูกราฟหุ้น ก็คือการดูความสัมพันธ์ของปริมาณการซื้อ – ขาย (Volume) ของหุ้นกับราคา (Price) ซึ่งเราอาจจะได้ยินคำว่า Volume เข้ากันมาบ้าง โดย Volume จะเป็นตัวบ่งบอกความสนใจและพฤติกรรมการซื้อ-ขายของนักลงทุนในตลาดในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยทำให้เราสามารถมั่นใจได้ว่าไม่ได้เป็นสัญญาณหลอกหรือแค่หุ้นย่อตัวระยะสั้น แต่หุ้นปรับตัวขึ้นปรับตัวลงตามแนวโน้มจริง
การวิเคราะห์จาก Volume เบื้องต้น
Volume เข้า คือ มีปริมาณการซื้อ – ขาย มากขึ้นกว่าช่วงเวลาก่อนหน้า หรือก็คือนักลงทุนสนใจเข้ามาเล่นกัน ทำให้มีปริมาณซื้อ – ขายเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับราคาหุ้นใน
- ราคาปรับตัวสูงขึ้น + Volume ซื้อเพิ่มขึ้น
แสดงถึง แนวโน้มราคาขึ้นที่แข็งแรง และมีโอกาสขึ้นต่อ มีแรงซื้อมาก เป็นสัญญาณของหุ้นขึ้นจริง และนักลงทุนมั่นใจว่าหุ้นตัวนี้จะปรับตัวขึ้นต่อ เป็นจังหวะที่สามารถเข้าลงทุนได้
- ราคาปรับตัวสูงขึ้น + Volume ซื้อลดลง
แสดงถึง แนวโน้มราคาขึ้นที่อ่อนแรง แต่แรงซื้อหมดแล้ว เป็นสัญญาณหุ้นขึ้นชั่วคราว เป็นจังหวะที่ควรสังเกตแนวโน้มต่อไปก่อน แนะนำว่าอย่าเพิ่งรีบเข้าลงทุน
- ราคาปรับตัวลดลง + Volume ขายเพิ่มขึ้น
แสดงถึง แนวโน้มราคาที่อ่อนแรงลงจริง มีแรงขายจากนักลงทุน เป็นจังหวะที่ไม่แนะนำให้เข้าลงทุนหรือควร Cut Loss ถ้าหากถือหุ้นตัวนั้น
- ราคาปรับตัวสูงขึ้น + Volume ขายลดลง
แสดงถึง แนวโน้มราคาที่อ่อนแรงลงชั่วคราว หมดแรงขายจากนักลงทุนแล้ว เป็นจังหวะที่อาจจะมีการปรับตัวของหุ้นเป็นขาขึ้นหรือ Side Way

และทั้งหมดนี้คือ 3 วิธีดูกราฟหุ้น ที่เรานำมาแนะนำกับนักลงทุนมือใหม่ ให้ได้ลองนำไปปรับใช้เป็นแนวทางในการหาจังหวะลงทุนกัน ยังไงก็ตามวิธีทำต้นเป็นเพียงวิธีเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งหากเราจะลดโอกาสเสี่ยงในการลงทุนให้น้อยที่สุดและเลือกจับจังหวะการลงทุนที่ใกล้ที่สุดได้ ก็จำเป็นต้องใช้ดัชนี (Indicators) อีกหลายตัวที่นำมาใช้ร่วมพิจารณาในการตัดสินใจได้ ไม่ว่าจะเป็น MACD, RSI หรือ ADX อีกด้วย รักจะเป็นนักลงทุนสาย Technical ก็ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับดัชนี้พวกนี้ด้วย แนะนำให้มือใหม่เริ่มลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป ร่วมกับหาความรู้เพิ่มเติมสม่ำเสมอเกี่ยวกับการลงทุนอนาคตอื่น ๆ ร่วมด้วยก็จะดีมาก เมื่อลงทุนไปนาน ๆ ประสบการณ์ก็จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยให้การลงทุนของเรามีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นได้