วันนี้เราจะพามาทำความเข้าใจในเรื่องของ วางแผนภาษี กับการลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน ให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้ในการลดหย่อนภาษีในปีนี้กันในทุก ๆ ปี เพราะเราทุกคนก็ต้องทำหน้าที่ของประชาชนโดยการจ่ายภาษี ซึ่งบ้านเรามีการเรียกเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า เรียกได้ว่ายิ่งมีรายได้เยอะก็ยิ่งต้องเสียภาษีมาก การจ่ายภาษีแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คงจะเป็นเงินไม่ใช่น้อยสำหรับใครหลาย ๆ คน หากมีสิทธิลดหย่อนก็ควรนำมาใช้เพื่อเป็นตัวช่วยในการเซฟเงินภาษีของเราได้เป็นอย่างดี
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กองทุน ที่นี่

ซึ่งรายการลดหย่อนภาษีก็มีหลายหมวดหมู่ กองทุนที่เราสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้จะมีทั้งหมด 2 ประเภท คือกองทุนนรวมเพื่อการออม SSF (Super Savings Fund) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF (Retirement Mutual Fund) โดยทั้งสองจะมีรายละเอียดเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนแตกต่างกัน ตามรายละเอียด ดังนี้
วางแผนภาษี ด้วย SSF
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) คือ กองทุนรวมสนับสนุนการออมเงินในระยะยาวควบคู่กับการลงทุน เป็นตัวช่วยในการลดหย่อนภาษีแทนกองทุน LTF ที่หมดอายุไปเมื่อปี 2562
เงื่อนไขในการลดหย่อนภาษี
- ลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ได้ผ่านกองทุน SSF
- ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ
- ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อและไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
- นำหักลดหย่อนภาษีได้ในปี 2563 – 2567 เท่านั้น
สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี - ใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% (ลดหย่อนได้ตามฐานอัตราภาษี) ของรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
- เมื่อรวมกับค่าลดหย่อนการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ตัวอย่าง
นาย A มีเงินได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ 52,000 บาท ต้องเสียภาษีอยู่ที่ 23,900 บาทต่อปี (มีการลดหย่อนส่วนบุคคลแล้ว)
นาย A ซื้อกองทุน SSF เพิ่ม 100,000 บาท ด้วยฐานอัตราภาษีสูงสุด 10% เขาจะสามารถลดหย่อนภาษีได้ 10% ของเงินที่ซื้อกองทุน นั่นคือ 10,000 บาท
นาย A จึงเสียภาษีเพียง 23,900 – 10,000 = 13,900 บาท
วางแผนภาษีด้วย RMF
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) คือ กองทุนที่ส่งเสริมการออมเงินไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ ลักษณะคล้ายกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในบริษัทเอกชน
เงื่อนไขในการลดหย่อนภาษี
- ลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ได้ เช่น หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ ผ่านกองทุน RMF
- ถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก และขายได้ก็ต่อเมื่อายุครบ 55 ปี
- ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ แต่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี (หรืออย่างน้อยซื้อปีเว้นปี)
- ใช้สิทธิตามเกณฑ์ใหม่ได้ในปีที่ลงทุน เริ่มปี 2563 เป็นต้นไป
สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี
- ใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% (ลดหย่อนได้ตามฐานอัตราภาษี) ของรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี ไม่เกิน 500,000 บาท
- เมื่อรวมกับค่าลดหย่อนการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ตัวอย่าง
นาย B มีเงินได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ 60,000 บาท ต้องเสียภาษีอยู่ที่ 35,150 บาทต่อปี (มีการลดหย่อนส่วนบุคคลแล้ว)
นาย B ซื้อกองทุน RMF เพิ่ม 200,000 บาท ด้วยฐานอัตราภาษีสูงสุด 10% เขาจะสามารถลดหย่อนภาษีได้ 10% ของเงินที่ซื้อกองทุน นั่นคือ 20,000 บาท
นาย B จึงเสียภาษีเพียง 35,150 – 20,000 = 15,150 บาท

จะเห็นว่าการซื้อกองทุน SSF หรือ RMF ช่วยให้เราประหยัดภาษีไปได้มากทีเดียว ถ้าหากใครต้องการให้เงินลงทุนเติบโตในระยะยาว แถมยังเป็นตัวช่วยในการลดหย่อนภาษีได้คู่หูกองทุนนี้ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์เลย ยิ่งนำไปลดหย่อนร่วมกับสิทธิอื่น ๆ ที่มีอีก เราอาจจะแทบไม่ต้องเสียภาษีเลยก็ได้นะ เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ก่อนลงทุนควรเลือกกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่เรามีความรู้ความเข้าใจ เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ รวมถึงเลือกกองที่มีค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมด้วย